2 พี่น้องตระกูลวิลเลี่ยมส์ คือไอคอนของวงการเทนนิสมาตลอด 2 ทศวรรษที่ผ่านมา แม้ปัจจุบันร่างกายของทั้งคู่จะถดถอยไปบ้างแต่ใครต่อใครต่างรู้ทั้ง วีนัส และ เซรีน่า ไม่มีวันเป็นหมูให้ใครเคี้ยวได้ง่ายๆ แน่นอน … ดังนั้นการที่ใครสักคนสามารถเอาชนะเธอได้ย่อมต้องมีหลายคุณสมบัติอยู่ในตัวทั้ง ฝีมือ, ประสบการณ์ และ พละกำลัง
อย่างไรก็ตามในศึก “วิมเบิลดัน 2019” วีนัส วิลเลี่ยมส์ เจ้าของแชมป์รายการนี้ 5 สมัย ถูกเด็กรุ่นลูกสอยร่วงตกรอบไปอย่างไม่น่าเชื่อ และเป็นการแพ้แบบ 2 เซ็ตรวด … เธอคนนั้นมีชื่อว่า คอรี่ กอฟฟ์ สาวน้อยวัย 15 ปี
และนี่คือเรื่องราวของเธอ
ที่บ้านคือจุดเริ่มต้น
กอฟฟ์ เกิดที่เมือง แอตแลนต้า รัฐ จอร์เจีย คอรี่ย์ พ่อของเธอนั้นจัดว่าเป็นชายที่บ้ากีฬาเข้าเส้น เขาเคยเป็นนักบาสเกตบอลระดับมหาวิทยาลัยที่เคยแข่งชิงแชมป์ประเทศมาเมื่อครั้งอดีต เขารู้รสชาติความหอมหวานของการเป็นนักกีฬาดังเป็นอย่างดี และเมื่อรู้ว่าลูกสาวชอบเล่นเทนนิสเข้าเส้น เขาก็อยากจะให้ลูกสาวเป็นนักเทนนิสระดับโลกตั้งแต่ที่ คอริ “โคโค่” กอฟฟ์ เริ่มจับแร็คเก็ตแล้ว
ความฝันของพ่อ-แม่ ที่จะเห็นลูกกลายเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ระดับโลกนั้นถือว่าเป็นความฝันที่เกิดขึ้นกับพ่อและแม่ในทุกๆ ครอบครัว ไม่ว่าลูกจะไปถึงจุดที่หวังไว้หรือไม่สุดท้ายแล้วก็ขอแค่ได้ตั้งความหวังเอาไว้ก่อน มันอาจจะเป็นความคิดสนุกๆ ที่ไม่แปลกอะไรนัก แต่สำหรับครอบครัวกอฟฟ์มันแตกต่างเพราะ คอรี่ย์ และ แคนดี้ ต่างเลือกที่จะย้ายจากรัฐ จอร์เจีย ไปยังเมือง เดลเรย์ บีช รัฐ ฟลอริด้า เพื่อให้ลูกสาวในวัย 7 ขวบ มีโอกาสได้เรียนรู้และสร้างฝีมือในการเป็นนักเทนนิสระดับโลก … บ้านนี้ไม่ได้แค่ฝันและปล่อยเลยตามเลย แต่พวกเขาเอาจริง
โคโค่ ถูกส่งไปยังอคาเดมีสอนเทนนิสแห่งเดียวกับที่สองพี่น้องตระกูลวิลเลี่ยมส์เคยเรียนเมื่อวัยเด็ก พร้อมๆ กันนี้ แคนดี้ แม่ของเธอยังสนับสนุนแนวคิดของสามีที่ว่าจะให้ลูกสาวฝึกเทนนิสเป็นหลัก และเรื่องเรียนเป็นรอง เพราะหลังจากย้ายมาที่ฟลอริด้า เธอก็ทำเรื่องที่จะให้ลูกสาวเรียนแบบโฮมสคูล (สอนกันเองที่บ้าน และไปสอบวัดความรู้เมื่อถึงเวลา) ทันที
“ผมท้าทายลูกสาวตัวเองมาตั้งแต่ยังเด็ก ผมบอกกับเธอเสมอว่าลูกจะเปลี่ยนโลกได้เมื่อแร็คเก็ตอยู่ในมือ ด้วยแนวคิดนี้ผมไม่เคยให้กำลังใจเธอเลยสักครั้ง เธอรู้ตัวเธอเองดีว่า เทนนิส คืองานหลัก แม้แต่โลกโซเชี่ยลลูกของผมก็ยังไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย” คอรี่ย์ พูดถึงลูกสาวของเขาตอนอายุ 11 ขวบ ที่เริ่มเด่นกว่าเด็กรุ่นเดียวกันจน แพทริก โมราโทกลู โค้ชของ เซรีน่า วิลเลี่ยมส์ เลือกมาเป็นตัวแทนของสหรัฐอเมริกาเพื่อเข้าแคมป์ฝึกพิเศษช่วงฤดูร้อนที่ประเทศฝรั่งเศส
ขณะที่ตัวของ โคโค่ เองนั้นแม้จะไม่เคยบอกว่าการฝึกของเธอมีรายละเอียดอย่างไรบ้างจนทำให้มายืนอยู่ ณ จุดนี้ได้ แต่ทว่าเราสามารถวิเคราะห์ได้แต่บทสัมภาษณ์แต่ละครั้งของเธอ ที่เมื่อได้พิจารณาดูแล้ว เหมือนกับเป็นการให้สัมภาษณ์ของคนๆ หนึ่งที่มีความมุ่งมั่นสูง และทะเยอทะยานมากอย่างไม่น่าเชื่อ เธอเป็นคนกล้าฝันถึงสิ่งที่ใครบอกว่าเป็นไปไม่ได้ และเธอเชื่อด้วยตัวเองเธอเองเสมอว่าเธอสามารถทำมันได้
“โตขึ้นหนูอยากจะเป็นอะไร?” นี่คือคำถามที่เด็กทุกคนต้องเคยเจอ และเด็กๆ ส่วนใหญ่มักจะตอบมาในลักษณะอาชีพที่ชื่นชอบ หรือสิ่งที่คิดและจินตนาการไว้ แต่สำหรับ โคโค่ เธอตอบในสิ่งที่ข้ามไปอีกสเต็ปหนึ่งด้วยคำตอบที่ว่า “อยากจะเป็นมนุษย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก” และเมื่อถามว่าใครคือต้นแบบของเธอ… เธอตอบคำถามด้วยชื่อของ “มูฮัมหมัด อาลี” นักชกเฮฟวี่เวทอันดับ 1 ตลอดกาลของโลก แค่นี้ก็พอจะรู้แล้วว่าเธอเติบโตมาแบบแตกต่างจากคนทั่วไปขนาดไหน …
ไม่จำเป็นต้องกลัวใคร
กว่าจะกลายเป็นเจ้าของสถิตินักเทนนิสที่อายุน้อยที่สุดที่เข้ามาถึงรอบเมนดรอว์ของ วิมเบิลดัน โคโค่ นั้นผ่านความลำบากมาก็ไม่น้อย เรื่องนี้หากไม่ได้พ่อของเธอที่รับบทพ่อใจร้ายมาตลอด ความยิ่งใหญ่ในเวทีระดับโลกคงไม่เกิดขึ้นได้เลย
คอรี่ย์ ผู้เป็นพ่อไม่ได้ดุถึงขั้นตบตีหรือลงไม้ลงมืออะไรนัก แต่เขาจะสอนให้ลูกสาวมองให้ไกลกว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ซึ่งบางครั้งเป้าหมายที่เขาวางไว้มันก็ไกลเกินไปจน โคโค่ นึกภาพไม่ออกว่ามันเป็นอย่างไร และเรื่องนี้ทำให้การฝึกฝนและปฎิบัติตัวสู่การเป็นยอดนักเทนนิสของเธอขรุขระไปบ้างเพราะต้องคอยเถียงกันกับพ่อตลอด ซึ่งหลายครั้งมันทำให้เธอต้องกินข้าวทั้งน้ำตาเลยทีเดียว
“ตอนเด็กๆ ทุกอย่างมันง่ายกว่าตอนนี้เยอะเลย ช่วงอายุ 13 ฉันไม่เข้าใจที่พ่อเอาแต่เรื่องเทนนิสมายัดใส่หัวฉันตลอดเวลา พ่อเกาะติดทุกย่างก้าว กว่าจะเข้าใจกันมากขึ้นก็มาถึงช่วงหลังๆ นี้นี่เอง” โคโค่ เล่าถึงเรื่องอดีต
สาเหตุที่ คอรี่ย์ จี้ติดลูกสาวทุกย่างก้าวนั้นง่ายนิดเดียว เขารู้ว่า โคโค่ เกิดมามีพรสวรรค์ มีร่างกายที่เหมาะสม และมีคนเป็นพ่ออย่างเขาคอยผลักดัน ทุกข้อคือคุณสมบัติที่นักกีฬาระดับโลกแทบทุกคนมี ดังนั้นหากเขาไม่คอยตามจ้ำจี้จ้ำไชแล้วล่ะก็พรสวรรค์ของ โคโค่ ที่พระเจ้ามอบให้อาจจะสูญเปล่าก็ได้
ตัวของเธอนั้นถึงแม้จะจำใจทำตามที่พ่อบอก แต่เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ มันกลับกลายเป็นความเคยชิน และจากนั้นมันก็ซึมเข้าไปในระบบความคิดของเธอเอง ทุกครั้งที่ลงแข่งต้องเต็มที่ ทุกครั้งที่ถือแร็คเก็ตต้องมั่นใจว่าสามารถเอาชนะได้ และหากจะเป็นมนุษย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกอย่างที่ฝันไว้ ต้องเริ่มต้นด้วยการปลูกฝังนิสัย “เกลียดความพ่ายแพ้” ให้ได้ก่อน … ไม่ใช่เธอไม่เคยแพ้ แต่ถ้าเธอเกิดแพ้ใครขึ้นมาสักคนจริงๆ เธอจะนอนทบทวนทั้งคืนว่ามีอะไรที่ผิดพลาดไปที่ทำให้เธอสู้ไม่ได้ … และเมื่อลืมตาตื่นขึ้น เธอจะถือแร็คเก็ตลงสนามซ้อมเพื่อลบจุดอ่อนที่มีจนกว่าตัวเธอเองจะพอใจ … นี่คือสิ่งที่เธอเป็นไปเองโดยธรรมชาติ ระยะหลัง คอรี่ย์ ผู้เป็นพ่อแทบไม่ต้องพูดแล้ว ลูกสาวของเขารู้ดีว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ
ทัศนคติแบบนี้เองที่ทำให้ โคโค่ กลายเป็นนักเทนนิสระดับเยาวชนที่เก่งที่สุดในโลกตั้งแต่อายุ 13 ปี และเป็นเจ้าของแชมป์หญิงเดี่ยวศึก ยูเอส โอเพ่น ระดับเยาวชนที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์อีกด้วย และสำหรับคนที่ชอบเอาชนะอย่างเธอนั้นการไล่เก็บชัยชนะในระดับจูเนียร์นั้นคืออะไรที่น่าเบื่อ ในปี 2018 เธอจึงเทิร์นโปรด้วยวัยเพียง 14 ปี และเริ่มต้นด้วยอันดับ 900 ของโลก
ทุกคนเข้าใจว่าเมื่อมาถึงจุดนี้แล้วความเก่งกาจเกินวัยจะต้องถูกชะลอลง ทุกอย่างจะต้องเป็นไปตามขั้นตามตอน เติบโตไปทีละสเต็ป เพราะการที่เด็กอายุ 14 – 15 ปี มาตีเทนนิสกับผู้ใหญ่ในระดับการแข่งขันจริง มันมักจะมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ทำให้เสียเปรียบ จริงอยู่ มันวลีที่ว่า “สดบดเก๋า” แต่สำหรับวัย 15 ปีนั้นถือว่าเป็นระยะห่างที่มากเกินไป ประสบการณ์ยังไม่แก่กล้า และร่างกายก็ยังไม่เจริญเติบโตเต็มที่เลยด้วยซ้ำ
ไม่เพียงเท่านั้น เรื่องราวในอดีตซึ่งนักเทนนิสที่โด่งดังตั้งแต่ยังเด็กหมดสภาพทั้งร่างกายและจิตใจก่อนเวลาอันควร โดยมีตัวอย่างคนสำคัญอย่าง เจนนิเฟอร์ คาปริอาตี้ ทำให้ WTA หรือสมาคมนักเทนนิสอาชีพหญิงต้องออกกฎจำกัดจำนวนทัวร์นาเมนต์ที่นักหวดวัยกระเตาะสามารถเล่นได้ โดยเด็กอายุ 14 ปี ที่สามารถเทิร์นโปรได้เป็นปีแรก สามารถลงเล่นได้เพียงปีละ 8 ทัวร์นาเมนต์ ก่อนจะเพิ่มขึ้นปีละ 2 รายการตามอายุที่เพิ่มขึ้นมา กว่าที่พวกเธอจะสามารถออกทัวร์เก็บคะแนนโลกได้ตามใจนึกก็ต้องรอจนกว่าอายุครบ 18 ปีเสียก่อน
ด้วยเหตุที่กล่าวมา แม้แต่ คอรี่ย์ ผู้เป็นพ่อจึงไม่ได้ตามกดดันลูกเหมือนสมัยตีรุ่นจูเนียร์ เพราะเขาเองก็เป็นนักกีฬาเก่า (บาสเกตบอล) และรู้ดีว่าของแบบนี้ต้องใช้เวลาเพื่อการเรียนรู้ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ทันแล้วนิสัยปลูกฝังให้ลูกมองไปไกลถึงความยิ่งใหญ่ที่ใครคนอื่นไม่กล้าฝันถึงทำให้ โคโค่ มีหัวใจที่ใหญ่เกินกว่าการคิดที่จะเดินไปช้าๆ
“พ่อกับแม่ไม่เคยกดดันให้ลงไปแข่งแล้วเอาชนะ ทั้งหมดมันเกิดจากแรงกดดันที่ฉันสร้างมันขึ้นมาเอง เพราะฉันเป็นคนที่เกลียดความพ่ายแพ้อย่างที่สุด” โคโค่ ว่าไว้ถึงนิสัยที่ซ่อนอยู่ภายในตัวของเธอ
เรียนรู้อย่างไม่หยุดยั้ง
โคโค่ ได้ลงแข่งรายการระดับโปรเพลย์เยอร์รายการแรกในศึก ไมอามี่ โอเพ่น เธอเปิดตัวด้วยการเอาชนะ เคธี่ แม็คนัลลี่ สาวอเมริกันรุ่นพี่วัย 17 ปี แต่เมื่อเข้ารอบ 2 และต้องเจอกับ ดาเรีย คาซัทคิน่า มือวางอันดับ 10 ของโลกชาว รัสเซีย เธอก็พบว่าความมุ่งมั่นและใจสู้เพียงอย่างเดียวมันยังไม่เพียงพอในการแข่งขันกับคนที่อายุเยอะกว่า
ตัวของ คาซัทคิน่า เล่าถึงการเอาชนะ คอริ กอฟฟ์ ในวันนั้นว่าแม้เธอจะเป็นฝ่ายชนะเด็กอายุ 15 ปี แต่สิ่งที่เธอรู้สึกคือนี่ไม่ใช่ชัยชนะแบบทั่วๆ ไปที่เธอเคยชนะเด็กที่อายุน้อยกว่า
“ฉันจำทุกเกมของฉันได้ดี มันแตกต่างครั้งแรกที่ฉันเจอกับนักเทนนิสที่อายุน้อยกว่าในรายการที่ โรลองต์ การ์รอส (เทนนิส เฟรนช์ โอเพ่น) เมื่อ 2 ปีก่อน ฉันอายุ 19 ส่วนเธออายุ 17 ดังนั้นก่อนจะแข่งฉันคิดเสมอว่า ‘มาเลย! ไม่พลาดอยู่แล้ว ฉันกำลังเจอกับคนที่อายุน้อยกว่าตั้งแต่ 2 ปีเชียวนะ’ แต่กับ กอฟฟ์ มันแปลกมาก ฉันกำลังแข่งกับนักเทนนิสที่อายุน้อยกว่าถึง 6 ปี และฉันคิดในใจเลย ‘นี่มันบ้าชัดๆ เด็กคนนี้ขึ้นมาเร็วมาก’ มันทำให้เรารู้ว่ามีนักเทนนิสดาวรุ่งขึ้นมาเยอะมาก และนั่นคือสิ่งที่ยอดเยี่ยม” นักหวดชาวรัสเซียกล่าว
ในการแข่งเกมนั้น โคโค่ เพิ่งฉลองอายุครบ 15 ปีเพียงไม่กี่วันเท่านั้น … หลังจากนั้นไม่ถึง 100 วัน เธอรู้แล้วว่าต้องสงบให้มากกว่าเดิม คิดให้มากกว่า จำทุกสิ่งที่ซ้อมให้ดี ซึ่งการเปลี่ยนแปลงบุคลิกเล็กๆ น้อยๆ ถูกนำมาใช้ในการเล่นรอบคัดเลือกศึกวิมเบิลดัน 2019 ซึ่งเมื่อขึ้นชื่อว่ารายการแกรนด์สแลม แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะเหล่ามือไร้อันดับจะต้องลงแข่งกันถึง 3 รอบ และห้ามแพ้เด็ดขาด ทว่าตัวของ โคโค่ ทำเหมือนกับมันไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร เธอคว่ำคู่ต่อสู้จาก สเปน, รัสเซีย และ เบลเยี่ยม 3 แมตช์รวด แบบไม่เสียเซ็ตให้ใครเลยแม้แต่เซ็ตเดียว นั่นหมายความว่าเธอได้เข้าสู่รอบเมนดรอว์แล้ว พร้อมสร้างประวัติศาสตร์เป็นนักเทนนิสอายุน้อยที่สุดนับตั้งแต่ปรับสู่ระบบโอเพ่นในปี 1968 ที่มาถึงจุดนี้
และเมื่อการจับฉลากเสร็จสิ้น ความหวังในการเป็นแชมป์ของเธอก็เกิดการสั่นคลอนทันที เพราะคนจับสลากดันมือดีจับเธอไปพบกับ วีนัส วิลเลี่ยมส์ … 1 ใน 2 พี่น้องตระกูล วิลเลี่ยมส์ ที่เธอเทิดทูนมากที่สุดในวงการเทนนิส
แมตช์ที่เธอเฝ้ารอมาไวกว่าที่เธอคิด
อย่าดูถูกตัวเอง
“ดีใจมากที่จะได้แข่งกับ 1 ในพี่น้องวิลเลี่ยมส์ หลายคนอาจจะเคยเป็นแบบนี้ในการประกบสายแข่ง ฉันถูกใจการประกบสายครั้งนี้มากๆ เพราะการได้ดวลกับผู้หญิงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล คือ ความฝัน และมันน่าตื่นเต้นที่จะได้เดินลงสนามในเกมนี้” โคโค่ ให้สัมภาษณ์กับทวิตเตอร์ของรายการวิมเบิลดัน 2019
ไม่ใช่แค่เธอเท่านั้นที่ตื่นเต้น เซรีน่า วิลเลี่ยมส์ น้องสาวของ วีนัส ที่เป็นอดีตมือ 1 ของโลกเช่นเดียวกันก็ยังอดใจรอดูเกมแห่งยุคสมัยแทบไม่ไหว และเธอยังแอบบอกด้วยว่าทุกครั้งที่เธอเห็น โคโค่ ซ้อม เธอรู้สึกเหมือนเห็นตัวเองตอนเด็กไม่มีผิด
“เธอทำงานหนักมากจริงๆ ทุกครั้งที่ฉันเห็นเธอ เธอจะต้องซ้อมอยู่กับพ่อของเธอตลอด มันทำให้นึกถึงตัวฉันเองเมื่ออดีต ฉันรู้สึกภูมิใจกับเธอมาก นี่จะเป็นเกมที่ยิ่งใหญ่ของทั้ง กอฟฟ์ และ วีนัส แน่นอน เกมนี้จะต้องสนุกตื่นเต้น และฉันรู้สึกกังวลแทนพี่สาวของฉันจริงๆ” เซรีน่า กล่าวถึงเกมที่เธอจับตามองเป็นพิเศษ
นี่คือแมตช์ที่เธอไม่เหมือเดิม สติของเธอฟุ้งซ่านไม่ไปไหนต่อไหนตั้งแต่ก่อนลงสนาม นี่คือการแข่งขันที่ต่างจากแมตช์ปกติทั่วไปในแง่ของความรู้สึก เธอต้องคอยกระตุ้นตัวเองตลอดเวลา หายใจเข้าลึกๆ และทำใจเย็นๆ เข้าไว้
“ฉันบอกตัวเองให้ทำให้เหมือนกับที่ซ้อม สนามนี้มีขนาดเท่าเดิมเหมือนกับที่ซ้อมมา พื้นสนามก็เหมือนกัน ทุกครั้งที่ฉันได้แต้มฉันต้องบอกว่ามันยังไม่จบ … ใจเย็นๆ” โคโค่ เล่าถึงบรรยากาศในเกมนั้น และอย่างที่เรารู้กันเธอสามารถเอาชนะ วีนัส วิลเลี่ยมส์ นักเทนนิสที่คว้าแชมป์ระดับแกรนด์แสลมมาครองได้ก่อนที่เธอจะลืมตาดูโลกด้วยซ้ำ และมันก็เป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลก
เรื่องฝึกหนักและพรสวรรค์คงไม่ต้องพูดถึง เพราะการที่ โคโค่ สามารถคว่ำ วีนัส ได้แบบสองเซ็ตรวดนั้น บอกได้ดีอยู่แล้วว่าเธอมีความสามารถที่เพียบพร้อม อย่างไรก็ตามก็ต้องไม่ลืมว่าเธออายุแค่ 15 ปีเท่านั้น … เด็กอายุ 15 ปี ที่ยืนเผชิญหน้ากับอดีตราชินีแห่งวงการเทนนิสจะต้องรู้สึกอย่างไร? เชื่อว่าร้อยทั้งร้อยต้องมีอาการสั่นจากความกดดันและความตื่นเต้นจนตีผิดตีพลาดไปเอง แต่สำหรับ โคโค่ แม้จะมีความตื่นเต้นบ้าง แต่ทักษะในการลดความกดดันและควบคุมตัวเองของเธอนั้นไม่ธรรมดา ภายใต้ความฟุ้งซ่านนั้นลึกๆ แล้วเธอเชื่อเสมอว่าเธอสามารถเอาชนะได้แน่นอน
“ฉันไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไรมากมายนักกับชัยชนะในแมตช์นี้ พ่อเคยบอกกับฉันตั้งแต่ 8 ขวบแล้วว่า สักวันแชมป์รายการวิมเบิลดันจะต้องตกเป็นของฉันแน่นอน” เธอให้สัมภาษณ์กับสื่ออย่าง Independent แม้จะดูโอหังไปบ้าง แต่เธอก็ไม่ลืมที่จะขอบคุณ วีนัส ในฐานะครูคนสำคัญที่ทำให้เธอมาถึงจุดนี้ได้ “ตอนที่เราจับมือกันฉันขอบคุณ วีนัส สำหรับทุกสิ่งทุกอย่างเธอเป็นแรงบันดาลใจของใครหลายคน”
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอเป็นถูกแสดงออกมาในวันนั้น ฟอร์มในวันนั้นบอกทุกคนที่ได้ดูให้รู้ว่าเด็กคนนี้ผ่านอะไรมากบ้าง … เทรซี่ ออสติน อดีตนักเทนนิสพูดถึง โคโค่ ว่าเด็กคนนี้ได้รับการเลี้ยงดูมาในแบบที่คาดหวังให้เป็นคนที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งตัวเธอเองทิ้งท้ายว่า คอริ กอฟฟ์ จะไม่ใช่พลุไฟนี่ดังตูมเดียวแล้วหายไปแน่ ชัยชนะเหนือ วีนัส เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น
รอบแรกผ่านไป โคโค่ ยังคงเดินหน้าไม่หยุดยั้ง เธอเอาชนะ มาดาเลน่า ไรบาริโคว่า จากสโลวาเกียในรอบ 2 ตามด้วยชัยชนะในรอบที่ 3 เหนือ โพโลน่า เฮอร์ซ็อก จาก สโลเวเนีย แบบสุดสนุก ทั้งที่เป็นฝ่ายเสียเซตแรกไปก่อน และต้องดวลยืดเยื้อถึงเกือบ 3 ชั่วโมง … ตอนนี้แมตช์เธอเดินทางมาถึงรอบที่ 4 แล้วและคู่แข่งของเธอถือว่าหินที่สุดเท่าที่เคยเจอ นั่นคือ ซิโมน่า ฮาเลป จาก โรมาเนีย อดีตมือ 1 ของโลกเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา
“ถ้าฉันผ่านเกมนี้ไปได้ เรามาดูกันว่าฉันไปชนะได้อีกกี่เกม … เป้าหมายของฉันคือการเล่นให้ดีที่สุด ความฝันของฉันคือการเอาชนะ และนั่นคือสิ่งที่จะเกิดขึ้น” เด็กอายุ 15 ที่กำลังไล่ล่าแชมป์วิมเบิลดันกล่าว ก่อนปิดท้ายว่า
“บางครั้งคนเราก็ดูถูกความสามารถตัวเองเกินไป เมื่อคุณมีโอกาสแล้วคุณจะทำอย่างไร? สำหรับฉันแล้ว ฉันต้องหวังให้สูงที่สุดเข้าไว้ ฉันตั้งเป้าหมายกับตัวเองในทุกเส้นทางที่ผ่านมา และแน่นอนทุกคนย่อมมีความหวังสูงสุดอยู่ในใจเสมอ”
เด็กอายุ 15 ปีคนนี้เคยบอกคุณไปแล้วว่าเธอหวังอะไรเอาไว้ … คุณคิดว่ามันพอจะเป็นไปได้หรือเปล่า?